09 มี.ค. 2567
410
ค้นพบความเชื่อมโยงระหว่าง SEO กับความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม
ล่าสุดมีรายงานว่าค้นพบความเชื่อมโยงระหว่าง SEO กับความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม และวิธีที่ SEO สามารถช่วยกำหนดภูมิทัศน์ดิจิทัลที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยคาดว่าสามารถทำให้เว็บมีความยั่งยืนมากขึ้น!
ในบทความนี้เราจะมาเปิดผลสำรวจ โดยเน้นการค้นพบที่สำคัญและคำแนะนำเชิงปฏิบัติสำหรับผู้เชี่ยวชาญด้าน SEO ที่ต้องการสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสิ่งแวดล้อม
เหตุใดความเชื่อมโยงระหว่าง SEO และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจึงมีความสำคัญ
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าการตระหนักของผู้คนที่จะช่วยจำกัดการปล่อยก๊าซคาร์บอนของเราตกเป็นหน้าที่ของพวกเราชาวโลกทุกคนไปแล้ว ไม่ว่าเราจะอยู่ในอุตสาหกรรมใดก็ตาม และในฐานะ SEO เราอยู่ในตำแหน่งที่ยอดเยี่ยมในการช่วยสร้างปริมาณการเข้าชมเว็บ
ผู้คนมักต้องการค้นหาข้อมูลและผลิตภัณฑ์ออนไลน์ที่ตรงกับความต้องการของพวกเขา และในฐานะ SEO เรามีโอกาสที่ดีในการตรวจสอบให้แน่ใจว่าคำขอดังกล่าวถูกส่งไปยังธุรกิจที่รับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมโดยตรง
ด้วยการเลือกและสนับสนุนลูกค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม SEO สามารถช่วยกำหนดความต้องการในทิศทางที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ซึ่งอาจมีผลกระทบสุทธิอย่างมาก
กระผมคิดว่าSEO จำนวนมากไม่ได้เชื่อมโยงว่า เมื่อมีการเยี่ยมชมเว็บไซต์และผ่านการกระทำทางดิจิทัลทั้งหมดของเรา ไม่ว่าจะค้นหาบน Google หรือโพสต์บนโซเชียลมีเดีย เรากำลังสร้างการปล่อยก๊าซคาร์บอน รวมถึงการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอันมีค่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคำนึงถึงต้นทุนด้านสิ่งแวดล้อมของการใช้ AI
ดังนั้นจะเกิดอะไรขึ้นหาก SEO สามารถช่วยผลักดันลูกค้าให้หันมาใช้แนวทางปฏิบัติทางเว็บที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น โดยเริ่มจากการควบคุมการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของเว็บไซต์
9 วิธีที่ SEO สามารถขับเคลื่อนการดำเนินการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
จากการดำเนินการสำรวจผู้ตอบแบบสอบถามที่อาศัยอยู่ในยุโรป ทั้ง ฟรีแลนซ์/ที่ปรึกษา/ทำงานในบ้าน/เอเจนซี่ ที่มีความเชี่ยวชาญด้าน SEO และอีคอมเมิร์ซ เห็นได้ชัดมากว่ามีคนจำนวนมากที่ใส่ใจหัวข้อนี้เป็นอย่างมาก ต่อไปนี้คือคำแนะนำเพิ่มเติมสำหรับผู้ที่ต้องการจะไปต่อ
1. ตรวจสอบ Green Web Foundation – และตรวจสอบว่าเว็บไซต์ของเราโฮสต์โดยใช้พลังงานสีเขียวหรือไม่: สำหรับ Green Web Foundation ได้สร้าง ไลบรารี JavaScript แบบ Open-source ที่เรียกว่า CO2.js ซึ่งช่วยให้นักพัฒนาสามารถประเมินการปล่อยก๊าซที่เกี่ยวข้องกับการใช้แอปเว็บไซต์ และซอฟต์แวร์ของตนได้!
2. ใช้ตัววิเคราะห์ไฟล์บันทึก เช่น Screaming Frog และตรวจสอบการปล่อย CO2 ในไซต์ของเรา: สำหรับ Screaming Frog ได้รวม CO2.js ของ Green Web Foundation ไว้ในการอัปเดตล่าสุดของ Log File Analyzer และสามารถกำหนดค่าเพื่อค้นหาผลกระทบของ CO2 ของทั้งบอทและผู้ใช้
ซึ่งเราสามารถดูการประมาณการการปล่อย CO2 จากปริมาณการเข้าชมเว็บไซต์ของเราเองหรือของลูกค้า ดังนั้นการวิเคราะห์ไฟล์บันทึกจะเป็นวิธีที่ดีในการกำหนดแผนเพื่อลดการใช้ทรัพยากรที่ไม่จำเป็นบนโฮสต์เว็บของเรา
3. แบ่งพื้นที่เล็กๆ เพื่อให้ความรู้แก่ลูกค้าของเราเกี่ยวกับการปล่อยก๊าซคาร์บอนของเว็บไซต์: เมื่อเราใช้เครื่องมือเพื่อตรวจสอบปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนที่เว็บไซต์สร้างขึ้น ทำไมไม่ใช้รายงานหรือผลลัพธ์เพื่อเริ่มการสนทนากับลูกค้าของเราละ เนื่องจากลูกค้าจำนวนมากอาจขาดความรู้เกี่ยวกับการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เกิดจากเว็บไซต์ของตน
ดังนั้นการแบ่งปันรายงานจากเครื่องมือเหล่านี้อาจเป็นวิธีที่ดีในการนำเสนอหัวข้อนี้ โดยเครื่องมือคำนวณคาร์บอนของเว็บไซต์โดย Wholegrain Digital เป็นเครื่องมือที่เรียบง่ายและมีภาพ ลองดูนะ
4. ติดตามการปล่อยก๊าซเรือนกระจกโดยใช้เครื่องมือเช่น Ecoping ต่อไป: การทราบการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของเว็บไซต์ของเราเป็นสิ่งที่ดี แต่สิ่งที่ดีไปกว่านั้นคือการมีแดชบอร์ดที่สามารถติดตามการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ทุกวัน ซึ่งช่วยให้เราสามารถติดตามการเปลี่ยนแปลงเมื่อเวลาผ่านไป โดย Ecoping เป็นเครื่องมือที่ดีที่ช่วยให้เราทำเช่นนั้นได้
5. แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับความยั่งยืนของเว็บให้มากขึ้นในหมู่เพื่อนร่วมงานและภายในชุมชน: หากเป็นไปได้ให้ลองเข้าร่วม MeetUps การตลาดดิจิทัลในท้องถิ่นหรือกิจกรรมอื่นๆ การค้นหาคนในพื้นที่ที่มีความสนใจคล้ายกันอาจเป็นวิธีที่ดีในการสร้างเครือข่ายที่แข็งแกร่ง
6. คำนึงถึงการกระทำทางดิจิทัลของเราเองและผลกระทบที่เกิดขึ้น: การวิจัยแสดงให้เห็นว่ามีการปล่อย CO2 มากถึง 91 กิโลกรัม (มากกว่า 200 ปอนด์เล็กน้อย) สำหรับโทรศัพท์มือถือทุกเครื่องที่ผลิต เกือบครึ่งหนึ่งของ CO2 (43%) ที่สร้างขึ้นหรือใช้ในช่วงวงจรชีวิตของโทรศัพท์มือถือเกิดขึ้นในระหว่างขั้นตอนของวัตถุดิบ
ซึ่งเกิดจากเครื่องจักรที่ใช้ในการค้นพบ สกัด และกลั่นปิโตรเลียมที่จำเป็นในการผลิตพลาสติก ดังนั้นการใช้โทรศัพท์เป็นเวลาอย่างน้อย 5 ปี แทนที่จะเป็น 2-3 ปีโดยทั่วไป ผลกระทบด้านคาร์บอนต่อปีในการใช้งานสามารถลดลงได้ 50% และผลกระทบจากน้ำอาจลดลงครึ่งหนึ่ง
7. เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับ (หรือการเปลี่ยนผ่าน) การออกแบบเว็บไซต์คาร์บอนต่ำ: แม้ว่าทุกคนอาจไม่สามารถเข้าถึงได้ แต่การเปลี่ยนมาใช้การออกแบบเว็บไซต์แบบคาร์บอนต่ำ หรือแม้แต่ทำให้เว็บไซต์ของเรามีคาร์บอนน้อยลง ก็จะเป็นวิธีที่ดีในการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนของเราเอง
โดย Nick Lewis นักพัฒนาเว็บที่ยั่งยืนยังได้สร้างเว็บไซต์ที่นำเสนอเว็บไซต์ที่มีคาร์บอนต่ำอีกด้วย จากการสอบถามเขาเกี่ยวกับเรื่องนี้ เขาบอกว่ามีหลายสิ่งหลายอย่างที่เกี่ยวข้องกับการสร้างไซต์ที่มีคาร์บอนต่ำ
8. การประชุม Pitch พูดถึงความยั่งยืนของ SEO และทำให้เว็บเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น: ครั้งต่อไปที่มีการประชุม SEO, การตลาดดิจิทัล หรือนักพัฒนาเว็บ ควรยอมรับหัวข้อพูดคุยใหม่ๆ ทำไมไม่ลองเสนอหัวข้อเพื่อทำให้เว็บเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้นล่ะ หรือจะเป็นการโพสต์บนบล็อก พ็อดคาสท์ และแม้แต่เนื้อหาโซเชียลมีเดียที่ยอดเยี่ยม
หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์สำหรับนักพัฒนาเว็บสำหรับโลกสมัยใหม่ที่มีการตระหนักถึงผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมขึ้นมากด้วย ช่วยกันคนละไม้คนละมือเพื่อคุณภาพชวิตของผู้คนในสังคม และอนาคตของลูกหลานของเรานะครับ
---Wynnsoft Solution รับทำเว็บไซต์ รับทำ SEO รับทำการตลาดออนไลน์ รับทำโฆษณา Facebook รับทำเว็บไซต์ ขอนแก่น และรับทำเว็บไซต์ทั่วประเทศ—
ข้อมูลจาก: searchengineland